![]()
ขณะที่ Kick-Ass ภาคแรกพูดถึงการที่ใครซักคนจะลุกขึ้นมาเป็นฮีโร่ปกป้องผู้ที่อ่อนแอกว่ามัน เป็นไปได้หรือไม่ ซึ่งในภาคที่สองหันกลับมาดูว่า หลังจากกลายเป็นฮีโร่สวมหน้ากากแล้ว ผลที่ตามมาเป็นอย่างไร และจุดยืนอยู่ที่ตรงไหน ส่วนนี้นับว่าจุดดึงเรื่องตีออกมาได้ดีและโตขึ้นกว่าภาคแรก ระหว่างเรื่องมีหลายต่อหลายคนต้องการให้ทั้งเดฟและมินนี่เลิกสวมหน้ากากออก ไปปราบอธรรม แต่พวกเขาล้วนต้องเลือกเส้นทางของตัวเอง และยอมรับกับผลที่จะตามมา ทว่าบทหนังออกจะสะเปะสะปะเกินกว่าจะให้เกิดอารมณ์ร่วมกับประเด็นเหล่านี้ ช่วงแอ็ค 1-2 หนังถูกแบ่งเป็นสามไลน์เรื่อง 1. เดฟเข้าร่วมทีม JF 2. มินดี้ค้นหาตัวเองในวัยเรียน 3. การตั้งทีมตัวร้ายของคริสที่ออกมาเอาฮาลูกเดียว จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม การแบ่งบทลักษณะนี้กลับไม่ลงตัวเท่าภาคแรกแม้แต่น้อย ส่วนหนึ่งเกิดจากซีนของมินดี้ที่เราต้องมานั่งดูตัวละครค้นหาตัวเองอีกครั้ง (หลังจากดูเดฟมาแล้วภาคแรก) และกลายเป็นหนังวัยรุ่นสาวๆไปชั่วขณะ โชคยังดีที่เป็นตัวละครฮิตเกิร์ล ทำให้ยังพอดูถูไถไปได้บ้าง เมื่อเข้าครึ่งหลังก่อนลงไคลแม็กซ์ในแอ็คสาม หนังก็เร่งเล่าอย่างรวดเร็ว ทำให้ฉากดราม่าที่ดูหนักหนามากกว่าภาคแรกกลับไม่อินเลย และทำให้บทสรุปตอนจบไม่พีคเท่าที่ควร
ด้านมุก ตลกของหนังยังพอมีอยู่บ้าง แต่ภาคนี้เน้นอารมณ์ซึ้งกินใจเป็นพิเศษ ทำให้มุกกวนๆที่เคยจิกกัดมันส์ในภาคแรกหายไปเยอะ ดูแล้วไม่จี๊ดจ๊าดเท่าที่ควร ขณะที่ฉากคิวบู๊ต่างๆดูขัดๆและไม่น่าตื่นตาเท่าที่ควร เรียกว่าออกแบบมาไม่น่าติดตามนัก แค่ฉากฮิตเกิร์ลลุยเดี่ยวแก๊งเหล่าร้ายในภาคแรกก็สามารถชนะขาดคิวบู๊หนังภาค สองได้ทั้งเรื่อง น่าเสียดายที่ดาราที่มาร่วมทีมใหม่ก็ดูเป็นตัวประกอบมากกว่าจะมาสร้างสีสัน ให้กับบทสั้นๆของพวกเขา Kick-Ass 2 จึงเป็นหนังภาคต่อที่น่าผิดหวัง และทำได้ไม่สุดไปเสียซักทาง แม้ดูเพลินๆได้บ้างก็ตาม
ขอบคุณที่มา : http://kc-eazyworld.exteen.com
|
COMMENT | ||