การไล่ล่าตัว โอซาม่า บิน ลาเดน กลายเป็นสิ่งที่ทั่วโลกให้ความสนใจสูงสุด และมันก็เป็นภารกิจสำคัญในนโยบายการบริหารประเทศของ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สองสมัย เป็นเวลากว่าหนึ่งทศวรรษอีกด้วย แต่ท้ายที่สุดแล้ว ทีมเจ้าหน้าที่ CIA ทีมเล็กๆ ที่ชาญฉลาดก็เป็นผู้ที่ตามรอยเขาจนพบ ทุกแง่มุมในภารกิจนี้ถูกเก็บงำไว้เป็นความลับ แม้ว่าจะมีการเผยแพร่รายละเอียดบางอย่างต่อสาธารณชนส่วนที่สำคัญที่สุดมากมายของปฏิบัติการลับครั้งนี้ ซึ่งรวมถึงบทบาทสำคัญของทีม CIA นั้น ก็กำลังจะถูกนำขึ้นจอเงินเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์ลุ้นระทึกเรื่องใหม่จากฝีมือของทีมผู้สร้างเจ้าของรางวัลออสการ์ แคธริน บิเกโลว์ และ มาร์ค โบล เรื่องราวการไล่ล่าและจับกุมบิน ลาเดน ของพวกเขา ซึ่งแม้จะจัดจ้านแต่ก็ยึดข้อเท็จจริงเป็นหลัก ได้นำพาผู้ชมไปสู่วงในฐานอำนาจและไปสู่แนวหน้าของภารกิจครั้งประวัติศาสตร์นี้ ที่มีบทสรุปเป็นปฏิบัติการลอบสังหารพิเศษในคฤหาสน์ลึกลับที่ตั้งอยู่ในย่านชานเมืองในประเทศปากีสถาน หากแต่ช่วงเวลาก่อนหน้าปฏิบัติการจู่โจมนี้เองที่ทำให้ Zero Dark Thirty โดดเด่นแตกต่างจากเรื่องราวบันทึกอื่นๆ การดั้นด้นควานหาตัว บิน ลาเดน เต็มไปด้วยอันตรายตั้งแต่เริ่มแรก และก็ไม่ใช่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ทุกคนที่จะมีชีวิตรอดกลับมา ผู้เชี่ยวชาญด้านหน่วยสืบราชการลับบางคนเชื่อว่า ภารกิจนี้ไม่น่าจะสำเร็จได้ แต่ทีมนักวิเคราะห์และนักสอบสวนผู้มุ่งมั่นกลับท้าทายความเป็นไปได้อันน้อยนิด และพิสูจน์ให้เห็นว่าคนเหล่านั้นคิดผิด นี่เป็นครั้งแรกที่ความพยายามในการไล่ล่าตัว โอซาม่า บิน ลาเดน ของพวกเขาถูกบอกเล่าออกมาด้วยรายละเอียดที่สมจริง กระชับฉับไว และน่าตื่นเต้น ความท้าทายเชิงสร้างสรรค์ในตอนแรกที่บิเกโลว์ และ โบล ต้องเผชิญในการพัฒนา Zero Dark Thirty ขึ้นมาคือจะทำอย่างไรถึงจะบอกเล่าเรื่องราวที่สลับซับซ้อนนี้ออกมาภายใต้กรอบเวลาที่จำกัดของภาพยนตร์ได้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รวมเอาเหตุการณ์มากมาย ที่ครอบคลุมเวลาเกือบหนึ่งทศวรรษ ข้ามขอบเขตประเทศต่างๆ และเกี่ยวข้องกับทีมนักแสดงหลายร้อยคน ที่ผ่านการคัดเลือกอย่างเฉพาะเจาะจง ร่วมกับทีมงานผู้มุ่งมั่น ผู้มีเป้าหมายในการบันทึกความสมจริงภาคพื้นดินของภารกิจนี้ให้สมจริงและชัดเจนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในแง่นั้นแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ประนีประนอมเลยในการบันทึกเส้นแบ่งทางศีลธรรม ซึ่งรวมถึงการทรมาน ที่ถูกล้ำเส้น ความตั้งใจของพวกเขาคือการสร้างผลงานภาพยนตร์ที่มีความยิ่งใหญ่ และอารมณ์ความเป็นมนุษย์ในแบบนิยายอิงประวัติศาสตร์ Zero Dark Thirty(ชื่อของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นศัพท์ทางทหารสำหรับช่วงกลางดึก ซึ่งเป็นเวลาเที่ยงคืนครึ่งในตอนที่หน่วยรบพิเศษซีลได้ก้าวเท้าเข้าไปในเขตคฤหาสน์เป็นครั้งแรก)เป็นผล งานที่ทะเยอทะยานที่สุดของ แคธริน บิเกโลว์ จนถึงปัจจุบัน ด้วยการใช้ศิลปะภาพยนตร์ทุกแขนง ตั้งแต่การแสดงตามธรรมชาติของทีมนักแสดง ที่รวมถึง เจสสิก้า เชสเทน, เจสัน คลาร์ค, โจเอล เอ็ดเกอร์ตัน, เจนนิเฟอร์ เอห์ล, มาร์ค สตรอง, ไคล์ แชนด์เลอร์ และ เอ็ดการ์ รามิเรซ ไปจนถึงการกำกับภาพนวัตกรรมในสภาพที่มีแสงต่ำมาก และการกำกับศิลป์ที่สลับซับซ้อน ทุกแง่มุมของการถ่ายทำครั้งนี้กลายเป็นสิ่งที่ บิเกโลว์ต้องพิสูจน์ตัวเองเพื่อเนรมิตให้ประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิตมาโลดแล่นบนหน้าจอ สำหรับมือเขียนบทและผู้อำนวยการสร้าง มาร์ค โบล นักข่าวและนักเขียนบทละครเจ้าของรางวัล การค้นหาแหล่งข้อมูลและการรายงานเรื่องราวเพื่อที่ทุกอย่างจะได้รับการถ่ายทอดออกมาอย่างถูกต้อง และเต็มที่นำมาซึ่งความท้าทายพิเศษนับไม่ถ้วน เขาให้คำมั่นกับแหล่งข้อมูลของเขาว่า เขาจะไม่บันทึกเพียงแต่วิบากกรรมส่วนตัวของพวกเขาเท่านั้น แต่เขายังจะบันทึกรายละเอียดและการต่อยอดข้อมูลของปฏิบัติการครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนี้ พร้อมไปกับปกป้องตัวตนของคนที่เขาสัมภาษณ์ด้วย ไดอะล็อคและฉากของเรื่องได้รับแรงบันดาลใจจากการสัมภาษณ์บุคคลมากมายของเขา ซึ่งทำให้โบลสามารถบรรยายเรื่องราวของผู้คนจริงๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการครั้งนี้ รวมทั้งสมาชิกคนอื่นๆ ในหน่วยงานทางทหารและหน่วยสืบราชการลับได้อีกด้วย ท้ายที่สุดแล้วทีมผู้สร้างเลือกที่จะบอกเล่าเรื่องราวผ่านทางมุมมองของผู้มีส่วนร่วมในการสืบหาข้อ มูลที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก เธอคือมายา เจ้าหน้าที่ CIA สาว ตัวชี้เป้าผู้ชำนาญในการตามล่าและสังหารผู้ก่อการร้าย การแสดงที่สมจริงโดยเชสเทน ทำให้ตัวละคร มายา ซึ่งนำเค้าโครงมาจากบุคคลจริง กลายเป็นเครื่องมือของ โบว์ล ในการเน้นย้ำถึงบทบาทของคนๆ หนึ่งในแผนการที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ในหลายแง่มุมการถ่ายทำความ เปลี่ยนแปลงของเธอจากความไร้เดียงสาไปสู่ความสะพรึงกลัวและปณิธานอันแน่วแน่ ได้สะท้อนถึงความเปลี่ยน แปลงของประเทศชาติที่กำลังลำบากกับการรับมือกับการก่อเหตุที่โหดเหี้ยมของผู้ก่อการร้าย Zero Dark Thirty แตกต่างจาก The Hurt Locker ผลงานที่บิเกโลว์ และโบว์ล ได้ร่วมงานกันมาก่อนหน้านี้ ที่ซึ่งมีการนำตัวละครสมมติไปอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่น่าสะพรึงกลัวในอิรัก ตรงวิธีการถ่ายทำแบบเดียวที่มีเอกลักษณ์ มันเป็นการผสมผสานระหว่างภาพยนตร์แอ็คชั่นและการรายงานผสมดราม่าการสืบ สวนที่ไม่ได้เป็นทั้งเรื่องแต่งหรือสารคดีแต่เป็นลูกผสมที่น่าตื่นเต้น และตามรอยการสืบราชการลับอย่างกระชั้นชิด พร้อมไปกับการฉายแสงสว่างไปยังมุมลับที่มืดมิดของสงคราม เพื่อสร้างความสะพรึงกลัว ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ถ่ายทอดความลึกลับในความกล้าหาญของมนุษย์และความคลุมเครือในสถานการณ์ที่กฎทางศีลธรรมตามปกติไม่อาจใช้ได้อีกต่อไป การเล่าเรื่องด้วยภาพยนตร์กลายเป็นวิธีการเล่าเรื่องที่สมบูรณ์แบบ ในการใช้ขอบข่ายของนิยายแบบนี้ แรงบันดาลใจของโบลมาจากทฤษฎีสื่อสารมวลชนใหม่จากยุค 60s ที่นักเขียนคนดังชาวอเมริกันเรียนรู้ที่จะใช้เทคนิคของวรรณกรรมในการบรรยายเหตุการณ์จริง ในแง่นี้ Zero Dark Thirty ได้พยายามที่จะผลักดันแนวการรายงานแบบวรรณกรรมไปข้างหน้า และนำเสนอภาพยนตร์ที่แปลกพิเศษให้กับผู้ชม ในรูปแบบของภาพยนตร์รายงานข่าว โดยเนื้อแท้แล้ว Zero Dark Thirtyได้นำเสนอภาพยนตร์ที่สร้างจากหนึ่งในเหตุการณ์ที่ถูกพูดถึงมากที่สุด แต่กลับมีคนรู้น้อยที่สุดในยุคสมัยใหม่ จากนักสร้างสรรค์สองคนที่ท้าทายตัวเองเพื่อผลักดันขีดจำกัดในศาสตร์ของพวกเขา มีการจำลองเหตุการณ์ขึ้นมาโดยคำนึงถึงข้อเท็จจริง ซึ่งรวมถึงการถ่ายทำในปากีสถาน ที่นำผู้ชมบุกเข้าไปสู่ใจกลางของแอ็กชัน ผลที่ได้คือภาพยนตร์ที่ทั้งน่าตกตะลึงและปลุกเร้าความรู้สึก แต่ในขณะเดียวกัน ก็น่าทึ่งและสมจริงอีกด้วย
ฉากการไล่ล่า ในบรรดาเรื่องราวการไล่ล่าตัวอาชญากรระดับโลก คงไม่มีเรื่องไหนที่เทียบได้กับการตามหาตัวโอซาม่า บิน ลาเดนอีกแล้ว ผู้กำกับแคธริน บิเกโลว์กล่าว“...มันเป็นเรื่องราวของการหาเข็มที่คมกริบในกองฟางขนาดใหญ่ค่ะ พอบิน ลาเดนหนีจากอัฟกานิสถานแล้ว เขาก็ปกป้องตัวเองด้วยระบบเครือข่ายไบแซนไทน์ ที่ใช้เวลาคลี่คลายเป็นปีๆ และสิ่งที่ฉันคิดว่ามีเสน่ห์เกี่ยวกับบทของมาร์คคือลักษณะที่มันติดตามช่วงเวลาทุกนาที ในแบบดราม่า แต่ก็ไม่ฟูมฟาย กระชับ และน่าหวาดวิตก มันเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวแบบดิบมากๆ ค่ะ...” แล้วกุญแจที่นำไปสู่แสงสว่างอยู่ที่ไหน? เงื่อนงำอะไรบ้างที่จะเผยถึงที่ซ่อนตัวของบิน ลาเดน? เจ้าหน้าที่อัลเคดาจะแปรพักตร์ได้รึเปล่า? แม้ว่าคำถามเหล่านี้จะเป็นคำถามสำคัญ มีคำถามหนึ่งที่สำคัญกว่าสำหรับบิเกโลว์และโบล นั่นคือใครคือเจ้าหน้า CIA ที่ปฏิเสธจะยอมจำนน และยังคงตามรอยของบิน ลาเดนอย่างไม่ลดละแม้ว่าเขาจะหายตัวเข้ากลีบเมฆและทั้งโลกไขว้เขวไปกับวิกฤตการณ์อย่างอื่นล่ะ? เป็นครั้งแรกที่ภาพยนตร์ได้ให้น้ำหนักไปที่มิติความเป็นมนุษย์ของเรื่องราวนั้น และนำเสนอความสับสนในจิตใจของเจ้าหน้าที่ รวมถึงผลลัพธ์ที่หนักหนาสาหัสของภารกิจครั้งนั้นด้วย บิเกโลว์ กล่าว “...คำถามสำหรับฉันในฐานะคนทำหนังก็คือ คุณจะร้อยเรียงส่วนต่างๆ ของเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่นี้เข้าด้วยกันในแบบที่จะมีโทนเป็นหนึ่งเดียว และอยู่ในระดับเดียวกันได้ยังไงน่ะค่ะ การค้นคว้าข้อมูลและบทของมาร์คช่วยเนรมิตชีวิตให้กับเรื่องราว ตั้งแต่ในอัฟกานิสถาน ไปถึงวอชิงตัน และปากีสถาน และมันก็เป็นกระบวนการที่เหมือนเป็นสัญชาตญาณ ที่จะเป็นไปแบบวินาทีต่อวินาที ฉากต่อฉาก ของการเล่าเรื่องราวที่มีขีดจำกัดทุกระดับ มันเป็นงานใหญ่ที่ต้องอาศัยการดำเนินการอย่างละเอียดอ่อนและรอบคอบมากๆ และไม่มีทางเลยที่ฉันจะสร้าง Zero Dark Thirtyได้ถ้าฉันไม่เคยผ่านประสบการณ์ต่างๆ ที่ฉันเคยเจอในฐานะคนทำหนังมาก่อนน่ะค่ะ...”
การค้นคว้าข้อมูล การดำเนินการเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของ Zero Dark Thirty ท้ายที่สุดก็ได้นำบิเกโลว์และโบลไปสู่การเผชิญหน้าที่วุ่นวายกับความลับและความท้าทายที่ตึงเครียดในการถ่ายทำ แต่ทุกอย่างเริ่มต้นอย่างเรียบง่ายและเงียบงัน เมื่อหกปีก่อน “...หนังเรื่องนี้ค่อนข้างจะเป็นแฮนด์เมดครับ และมันก็ผ่านการเปลี่ยนแปลงสองครั้ง มันเริ่มต้นเมื่อหกปีก่อนในฐานะหนังเกี่ยวกับการคว้าน้ำเหลวในการตามล่าตัวบิน ลาเดนในโทรา โบรา ผมใช้เวลาหลายปีไปกับการค้นคว้าและการเขียนเกี่ยวกับเรื่องนั้น และเราก็กำลังอยู่ในขั้นตอนเตรียมงานสร้างหนังเรื่องนั้นในปี 2011 พร้อมกับฝ่ายหาสถานที่ถ่ายทำในโรมาเนีย แต่จู่ๆ บิน ลาเดนก็ถูกสังหาร และหนังเรื่องนั้นก็กลายเป็นประวัติศาสตร์ไป ผมก็เลยต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง...”โบลกล่าว “...เรื่องราวนี้เป็นเรื่องส่วนตัวสำหรับผมเสมอเพราะผมโตขึ้นมาในนิวยอร์ก ซิตี้ ใต้เงาของตึกเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ และหลัง9/11 ผมก็รู้สึกจริงๆ ว่าผมจะต้องทำความเข้าใจกับบิน ลาเดนและปฏิกิริยาตอบโต้ของสหรัฐฯที่มีต่อเขาให้มากขึ้น...”โบล ผู้รายงานประเด็นความมั่นคงของชาติและสงครามในอิรักและอัฟกานิสถานให้กับนิตยสารหลากหลาย ตั้งแต่เพลย์บอยไปถึงโรลลิง สโตน “...คนที่โจมตีบ้านเกิดผม และผลลัพธ์ที่ยาวนานของวันนั้นได้สร้างคำนิยามให้กับอาชีพนักเขียนของผม ผมบอกไม่ได้ว่าผมเป็นคนเลือกหัวข้อ เพราะนักเขียนก็เหมือนเด็กๆ ที่ไม่ค่อยจะได้เป็นผู้เลือกสิ่งที่มีอิทธิพลต่อตัวเอง แต่มันเลือกผมครับ..” ในเวลานั้น บิเกโลว์กำลังได้รับความสนใจจากผู้ชมและนักวิจารณ์ในฐานะผู้กำกับที่มีวิสัยทัศน์เฉียบขาดและความชื่นชอบการขมวดความวุ่นวาย ที่เกี่ยวข้องกับแอ็คชั่นและความน่าสนใจของมนุษย์ในภาพยนตร์เรื่องต่างๆ ซึ่งรวมถึง Near Dark, Blue Steel และK-19: The Widow makerจากการค้นคว้าเริ่มแรกของโบลเกี่ยวกับโทรา โบรา เขาและ บิเกโลว์ก็ได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง The Hurt Locker ซึ่งทำให้เธอได้รับการจารึกชื่อในประวัติศาสตร์ในฐานะหนึ่งในผู้บันทึกเรื่องราวสงครามคนสำคัญแห่งศตวรรษที่ 21 และในฐานะผู้หญิงคนแรกที่ได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม อย่างไรก็ดีแม้ว่าพวกเขาจะได้รับชื่อเสียงและรางวัลมากมายมาแล้ว และเรื่องของบิน ลาเดนก็ยังคงเป็นเรื่องต้องห้ามในฮอลลีวู้ด และพวกเขาก็ต้องหาเงินทุนจากแหล่งอิสระเพื่อเดินหน้าโปรเจ็กต์นี้ โบลและบิเกโลว์ร่วมมือกับผู้อำนวยการสร้างและนายทุน เมแกน เอลลิสัน ผู้สนับสนุนด้านเงินทุนภาพยนตร์เรื่องนี้ผ่านทาง แอนนาพูร์นา พิคเจอร์ส บริษัทของเธอ หลังจากเหตุการณ์สำคัญแห่งประวัติศาสตร์ในวันที่ 1 พฤษภาคม ปี 2011 ในตอนที่ข่าวการตายของบิน ลาเดนทำให้ทั่วทั้งโลกตกตะลึง โบลได้ย้ายไปวอชิงตันหลายเดือนเพื่อทำการค้นคว้าข้อมูลสัปดาห์ละกว่า 80 ชั่วโมงในหลายสัปดาห์ เขาลงทุนถึงขนาดเดินหาข้อมูลด้วยตัวเองเลยทีเดียว หลังจากนั้น เขาก็เดินทางไปปากีสถานและส่วนอื่นๆ ในตะวันออกกลางเพื่อตามรอยของเรื่องราว “...หน่วยสาธารณะของบางหน่วยงานก็มีส่วนช่วยครับ แต่การรายงานส่วนมากเกิดขึ้นจากวิธีโบราณ นั่นคือรองเท้าหนัง แหล่งข่าวและโชค ความตั้งใจของผมคือรวบรวมประสบการณ์ตรงจากคนที่เคยเกี่ยวข้องให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และท้ายที่สุดผมก็โชคดีที่ได้เขียนบทที่ดึงเอาเรื่องราวมาจากคนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับภารกิจครั้งนั้นเกือบทั้งหมดครับ...”โบลอธิบาย “...แน่นอนว่าเว้นแต่ว่าคุณจะทำสารคดี ในบางตอน คุณก็ต้องถอดหมวกนักข่าวของคุณออกแล้วสวมหมวกมือเขียนบทเพื่อเล่าเรื่องราวเยี่ยมๆ เพราะนี่เป็นหนังนี่ครับ ในตอนที่คุณบอกเล่าการไล่ล่านานสิบปีและต้องย่อข้อเท็จจริงและการค้นคว้าข้อมูลต่างๆ ให้กลายเป็นหนังสองชั่วโมง คุณก็ต้องบอกเล่าเรื่องราวของคุณอย่างมีประสิทธิภาพครับ...” วิธีการของโบลเข้ากันได้ดีกับวิสัยทัศน์ที่บิเกโลว์มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ “...สาธารณชนรู้น้อยมากเกี่ยวกับสิ่งที่วีรบุรุษผู้ไม่ได้รับการเอ่ยนามในหน่วยสืบราชการลับต้องเจอ ซึ่งมันก็ควรเป็นแบบนั้น แต่ในเรื่องนี้ คุณจะได้รับโอกาสที่หายากยิ่งในการได้ดูชายและหญิง ผู้อยู่ใจกลางปฏิบัติการที่เป็นความลับมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของเราค่ะ...” ผู้กำกับกล่าว “...มาร์คไม่ได้แค่ยืนยันข้อเท็จจริงเท่านั้น แต่เขายังซึมซับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่แผ่ครอบคลุมอยู่ในบรรยากาศของโลกใบนี้ด้วย ทั้งบุคลิก ความขัดแย้ง แรงจูงใจ ความไม่แน่นอน และขับเน้นมันออกมาอย่างวิเศษสุดค่ะ...”
การสอบสวน มายา ตัวละครเอกของเรื่อง ถูกส่งตัวเข้าไปสู่การไล่ล่าหาตัวบิน ลาเดน ร่วมกับผู้ชม ด้วยประสบการณ์สั่นประสาทใน “การซักถามพิเศษ” ผู้ถูกกักตัวจากอัลเคดาคนหนึ่ง การตอบสนองที่ซับซ้อนของมายาที่มีต่อช่วงเวลาที่สั่นคลอนจิตใจนี้สะท้อนความรู้สึกของพวกเราเอง “...พูดง่ายๆ คือนี่เป็นประเด็นอื้อฉาวมากๆ ผมอยากจะถ่ายทอดความซับซ้อนของสถานการณ์นี้ ทั้งทางศีลธรรมและจิตวิทยา เป้าหมายด้านสุนทรียะของเรื่องไม่ใช่การเอาคืน หรือยุติการถกเถียงเกี่ยวกับการใช้ทัณฑ์ทรมาน ซึ่งยังคงเกิดขึ้น แม้แต่ในชุมชนที่มีผู้คัดค้านมันก็ตาม แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวและเราก็ต้องใส่เรื่องนั้นลงไป เป้าหมายของเราคือการนำเสนอเหตุการณ์อย่างชัดแจ้งและทำให้มันเป็นเรื่องจริงสำหรับผู้ชมครับ...”โบลบอก “...ในช่วงท้ายเรื่อง เราได้เห็นว่าท้ายที่สุดแล้ว คฤหาสน์ของบิน ลาเดนก็ไม่ได้ถูกพบผ่านทางเทคนิคเหล่านี้ แต่ผ่านการผสมผสานระหว่างการติดสินบน งานสายลับดั้งเดิมและกล้องวงจรปิดอิเล็คทรอนิคครับ...” ผู้กำกับภาพ เกร็ก เฟรเซอร์ เอเอสซี พบว่าการถ่ายทำฉากซักถามเป็นอะไรที่ทารุณ แต่ก็เปิดเผย “...การดูฉากนี้เป็นเรื่องยากครับ และมันก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผมอยากจะทำซ้ำสอง แม้แต่ในฉากจำลอง มันยังทิ้งร่องรอยไว้ในจิตใจของทุกคน แต่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจริงและผมก็คิดว่ามันเป็นข้อพิสูจน์สำหรับหนังเรื่องนี้ ที่มันจะทำให้คุณดำดิ่งงไปในทุกเหตุการณ์อย่างเท่าเทียมกันครับ...”
เจ้าหน้าที่ CIA หัวใจของงานสร้าง Zero Dark Thirty คือกระบวนการคัดเลือกนักแสดงอย่างเข้มงวด ที่จะรวบรวมนักแสดงสำหรับบทพูด 120 บทจากการออดิชันนักแสดงกว่า 1000 คนทั่วโลก ตัวละครแต่ละตัวและทุกตัว ถูกเลือกเป็นพิเศษเพื่อสร้างกลุ่มคนที่จะมาเติมเต็มเรื่องราวนี้ บิเกโลว์ต้องการนักแสดงมากประสบการณ์ ที่ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยความคิดเห็นของฝูงชน เพื่อที่ผู้ชมจะสามารถมองเห็นพวกเขาเป็นตัวละครของพวกเขาได้ “...มันเป็นงานคัดเลือกนักแสดงที่ยิ่งใหญ่และมีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมากมายค่ะ แต่ฉันรู้สึกว่าการตัดสินใจจะเกิดขึ้นได้จากสัญชาตญาณเท่านั้นค่ะ สำหรับแต่ละบท ฉันมองหาจังหวะ หรือท่วงทำนองบางอย่าง มีความรู้สึกของความจริงแท้อย่างแน่นอนบางอย่าง คุณจะรู้ได้ตอนที่คุณเห็นมันค่ะ...”บิเกโลว์กล่าว ส่วนสำคัญในการคัดเลือกนักแสดงคือบท มายา เจ้าหน้าที่ CIA ผู้ชี้เป้า ผู้อุทิศตัวเองไปกับการตามล่าตัวบิน ลาเดน และตามร่องรอยของเขาไปจนถึงชานเมืองปากีสถาน เธอเป็นผู้หญิงที่ถูกจัดให้อยู่ในประเภทคลาสสิกของพวกหมกมุ่น คนที่ไม่สามารถหลับตาลงได้จนกว่าผู้ร้ายจะถูกจับตัวได้ แต่มุมมองของเธอก็เป็นอะไรที่ร่วมสมัยอย่างชัดเจน เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้นำเสนอคำอธิบายที่ชัดเจนใดๆ สำหรับลักษณะนิสัยที่เปลี่ยนแปลงไปของเธอ ทำให้ผู้ชมต้องสรุปเอาเองว่าอะไรที่กระตุ้นมายาได้และอะไรที่ทำให้เธอเปลี่ยนแปลงไป แม้ว่ามันจะไม่มีข้อสงสัยเลยว่าเธอเป็นคนที่มีสมาธิ ฉลาดและแน่วแน่ แต่เธอก็ยังคงเป็นคนลึกลับ “..ผมเป็นแฟนของเรื่องราวเบื้องหลังและการเปิดเผยแบบฟรอยด์ครับ ผมชอบตัวละครที่ถูกให้คำนิยามจากสิ่งที่พวกเขาทำ ในแง่ของการคงอยู่ในปัจจุบัน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็มีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงในเชิงปฏิบัติ ผมจะต้องจำกัดรายละเอียดด้านชีวประวัติเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวเอาไว้ครับ..”โบลกล่าว อย่างไรก็ดี มายาก็เป็นผู้หญิงที่มีคุณสมบัติที่น่านับถืออย่างแท้จริง และสำหรับบทนี้ ทีมผู้สร้างได้เลือกหนึ่งในนักแสดงหญิงแม่เหล็ก ผู้มากความสามารถที่สุดในปัจจุบัน เจสสิก้า แชสเทน บิเกโลว์ กล่าว “...เราต้องการนักแสดงหญิงที่มีพรสวรรค์สูง และมีความยืดหยุ่นในการพูด ที่จะรับมือกับความซับซ้อนของไดอะล็อคได้ รวมทั้งมีความไม่หวั่นเกรงอะไร ในแบบที่จำเป็นต่อบทนี้ด้วยค่ะ เจสสิก้ามีความองอาจและมีความหนักแน่นจริงๆ ธอสามารถถ่ายทอดความลึกซึ้งและความละเอียดอ่อนออกมาได้แม้ในช่วงเวลาที่อ่อนไหวที่สุดค่ะ...” แชสเทน จำได้ว่ารู้สึกถูกดึงดูดเข้ามาสู่บทนี้ “...พออ่านบทไปได้ 20 หน้า ฉันก็รู้ว่าฉันต้องรับบทนี้ค่ะ ฉันเข้าใจทันทีเลยว่าทำไมเธอถึงรู้สึกถูกครอบงำและหมกมุ่นกับการค้นหาครั้งนี้ ฉันคิดว่ามันเป็นหนึ่งในบทที่ดี่สุดเท่าที่ฉันเคยอ่านมาเลย ฉันรักความเข้มแข็งและความดื้อรั้นของเธอค่ะ ตัวละครตัวนี้ทำให้ฉันหัวเราะด้วยการที่เธอสามารถโฟกัสได้มากแค่ไหนเพื่อให้ได้สิ่งที่เธอต้องการ รายละเอียดในบทน่าทึ่งมาก ทุกคนที่รุ่นราวคราวเดียวกับฉันจำได้ดีว่าพวกเขาอยู่ไหนตอนได้ยินว่าบิน ลาเดนตาย แต่พวกเราไม่มีใครรู้เลยว่าการอยู่ในกลุ่ม CIA ที่ไล่ล่าตัวเขาเป็นยังไง เรื่องราวนี้ช่วยทำให้วีรบุรุษอย่างมายา คนที่สร้างให้เกิดความแตกต่าง เป็นที่รู้จักค่ะ...” นอกจากนี้ เธอยังได้รับการกระตุ้นจากการเปลี่ยนแปลงของมายาจากเด็กใหม่ที่ตื่นตะลึงไปเป็นผู้นำทางหญิงเหล็กในโลกที่ห่อหุ้มไปด้วยหมอกของการต่อต้านการก่อการร้าย “...ฉันประทับใจและตื่นเต้นกับความเปลี่ยนแปลงของมายาค่ะ หลักๆ แล้ว คุณจะได้เห็นเธอเติบโตในเรื่องนี้ ขณะที่การตามล่าตัวบิน ลาเดนกลายเป็นภารกิจส่วนตัวมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับเธอ คุณจะได้เห็นเธอเริ่มสูญเสียตัวตนเดิมของตัวเองและกลายเป็นคนใหม่ ช่วงตอนจบของหนังเป็นอะไรที่น่าสนใจมากสำหรับฉันเพราะมันเกือบจะเหมือนว่าเธอไม่รู้ว่าตัวเธอเป็นใครอีกต่อไปแล้ว และการบอกเล่าเรื่องราวที่สมจริงและมีความซับซ้อนทางอารมณ์เกี่ยวกับตัวละครแบบนั้นคือสาเหตุที่ทำให้ฉันเล่นหนังเรื่องนี้ค่ะ...” การทำงานในอินเดียและจอร์แดนยังทำให้เธอมีความเข้าใจมากขึ้นในสิ่งที่ผู้หญิงอย่างมายาต้องเผชิญในความพยายามที่จะแทรกซึมเข้าไปในประเทศต่างวัฒนธรรมโดยไม่มีใครสังเกตเห็น “...คุณจะรู้สึกจริงๆ ว่าคุณอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของโลกและถูกตัดขาดจากทุกอย่างที่คุณคุ้นเคย ฉันคิดว่ามันคงเป็นความรู้สึกเหมือนกับที่มายารู้สึกตอนที่เธอมาถึงใหม่ๆ ความสัมพันธ์ทั้งหมดของคุณเป็นอะไรที่เข้มข้นมากๆ มันทั้งใกล้ชิดและเร็วมากๆ และนั่นก็เป็นสิ่งที่คุณจะเข้าใจได้ด้วยการสัมผัสมันเท่านั้น ฉันไม่รู้ว่าเราจะสร้างหนังเรื่องนี้แบบนี้ที่อื่นได้ยังไงค่ะ...”แชสเทนกล่าว ในตอนที่มายามาถึงในปากีสถาน เธอได้รับการดูแลโดยแดน เจ้าหน้าที่ CIA ผู้สอนให้เธอรู้จักถึงงานหนักหน่วงของการรับมือกับผู้ก่อการร้ายผู้โหดเหี้ยมในทันที ผู้ที่รับบทสำคัญคือเจสัน คลาร์ค นักแสดงชาวออสเตรเลีย เขาเอาชนะใจ บิเกโลว์ได้ระหว่างการออดิชันเมื่อหลายปีก่อน “...เขาติดตรึงใจฉันจริงๆ ค่ะ เขาเป็นพลังธรรมชาติ ที่มีทั้งความเข้มแข็ง ความแน่วแน่และความกร้านโลก ที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับบทนี้เขาเป็นคนที่รอบรู้ด้านประวัติศาสตร์และเป็นนักศึกษาที่สนใจความเป็นไปของโลกใบนี้ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนค่ะ...” คลาร์ค กล่าว “...การเดินทางทั้งหมดทั้งมวลของผมมีประโยชน์อย่างยิ่งในการสร้างตัวละครแดนครับ เขาเป็นคนที่ต้องสามารถทำตัวกลมกลืนและรับมือกับสิ่งที่คาดไม่ถึงได้ เขาจะต้องคอยระแวดระวัง และตื่นตัวตลอด ผมเคยไปในสถานที่แปลกๆ หรือกระทั่งน่ากลัวมาแล้ว และผมก็รู้ว่าคุณต้องเรียนรู้ที่จะฉลาด จะต้องตัดสินใจฉับไว และที่สำคัญที่สุด คุณต้องอดทน ซึ่งมันก็คุณสมบัติที่แดนได้บ่มเพาะขึ้นมาครับ...” คุณสมบัติเหล่านั้นเข้ามามีบทบาทในการเค้นความจริงของ CIA แต่มันยังถูกผสมผสานด้วยอะดรีนาลินและสัญชาตญาณดิบเมื่อความหงุดหงิดทวีความรุนแรงขึ้น คลาร์คตั้งข้อสังเกตว่าการรีดเอาข้อมูลจากผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมือเป็นงานซับซ้อนที่มีพื้นที่สีเทามากมายสำหรับผู้เกี่ยวข้อง “...น่าขันที่การซักถามเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสานสายสัมพันธ์ครับ ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้ให้ประสบการณ์ดิบที่เห็นภาพ สะเทือนอารมณ์และชาญฉลาดกับผู้ชม เพื่อที่พวกเขาจะสามารถสรุปได้ด้วยตัวเองครับ...” หนึ่งในบทที่โหดที่สุดใน Zero Dark Thirty คือบทของชายผู้ที่แดนสอบสวนครั้งแล้วครั้งเล่า ในเซสชันที่มีทั้งการทรมานทางร่างกายและจิตใจ ผู้ที่รับบทอัมมาร์ ผู้ถูกคุมขังที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือด้วย คือรีดา คาเท็บ นักแสดงเชื้อสายฝรั่งเศส/อัลจีเรีย ผู้โด่งดังจากการแสดงในดรามาท้าทายเกี่ยวกับคุกโดยฌาคส์ ออเดียร์ดเรื่อง A Prophet โบล กล่าวถึงซีเควนซ์เหล่านี้ว่า “...เราไม่สามารถเลือกยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่ได้ครับ สงครามต่อต้านการก่อการร้ายทำให้คนเราตกอยู่ในสถานการณ์ที่กฎตามปกติ หรือเข็มทิศศีลธรรมตามปกติ ไม่ชัดเจนนักน่ะครับ...” คาเท็บ ยอมรับว่าเขาเองรู้สึกลังเลอยู่เหมือนกัน “...ตอนที่ผมอ่านบทนี้ ผมรู้สึกกลัวนิดๆ เพราะความเข้มข้นและความซื่อสัตย์อย่างร้ายกาจของสิ่งแวดล้อมและสถานการณ์นั้น...มันเป็นสิ่งที่ผมไม่คุ้นเคยน่ะครับ แต่พอผมอ่านมันซ้ำอีกครั้ง มันเป็นบทที่เขียนได้ดีมากๆ และผมก็รู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นแบบฉบับของโลกอาหรับที่คุณจะได้เห็นในโทรทัศน์ ผมรู้สึกว่าบทหนังเรื่องนี้ได้นำเสนอแง่มุมความเป็นมนุษย์ทั้งหมดของเรื่องราว และมุมมองของผมคือมุมมองของศิลปินที่จะต้องทำแบบนั้นเสมอน่ะครับ...” คาเท็บกล่าวว่า พออยู่ในกองถ่ายสิ่งสำคัญคือการสงวนพลังกายและพลังใจเอาไว้และใช้มันอย่างรอบคอบ “...คุณจะต้องระมัดระวังไม่ใช้พลังกับช่วงเวลาไหนมากเกินไป เพราะคุณจะต้องพร้อมสำหรับเทคต่อไปครับ ดังนั้น แม้คุณจะทุ่มเทไปมาก แต่คุณก็ต้องพยายามจะเก็บแรงไว้เพื่อพร้อมสำหรับช่วงเวลาต่อไปตลอดหลายวันหลังจากนั้นครับ...” การร่วมงานกับเจสัน คลาร์คในฐานะผู้สอบสวนเขาต้องอาศัยความไว้วางใจอย่างลึกซึ้ง “...มันแปลกนะครับที่จะพบใครซักคนและหลังจากนั้น ก็ต้องเข้าฉากที่ทารุณพวกนี้ด้วยกัน แต่เราก็คุยกันอย่างชัดเจนว่ามันเป็นบทที่เราต้องเล่นในตอนที่กล้องเริ่มเดิน พอเข้าใจเรื่องนั้นอย่างชัดเจนแล้ว เราก็สามารถทุ่มลงไปสุดตัวมากๆ และพัฒนาความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมขึ้นมาได้จริงๆ ครับ...” แม้ว่าฉากพวกนี้จะสั่นประสาทแค่ไหน แต่คลาร์คก็มักจะยืนยันกับคาเท็บในตอนที่กล้องหยุดเดินว่าเขายังคงเป็นเจสันคนเดิมอยู่ “...ผมแค่อยากให้เขารู้ในฐานะเจสันว่า ไม่ว่าเขาจะต้องการอะไร ก็พูดได้ทั้งนั้น ซึ่งแน่นอนว่ามันก็สอดคล้องไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นในฉากนี้เหมือนกันครับ...” ผู้ที่รับบท โจเซฟ แบรดลีย์ หัวหน้าหน่วย CIA ของมายาประจำฐานในกรุงอิสลามาบัด คือไคล์ แชนด์เลอร์ “...ไคล์มีเสน่ห์แบบอเมริกันชน ฉันเข้าใจว่ามีคนแบบเขาในCIA พนักงานสอบสวนที่บ่มเพาะความปราดเปรียวของตัวเอง คุณจะรู้สึกได้ว่าเขามีความปรารถนาที่จะทำในสิ่ < |
COMMENT | ||